การตรวจสุขภาพกับหมอเส็งไม่เหมือนการตรวจโรคตามโรงพยาบาลโดยทั่วไป เพราะใช้วิธีการที่เรียกว่า "แมะ" หรือการจับชีพจร เพื่อวินิจฉัยโรค ซึ่งเป็นศาสตร์ของแพทย์แผนจีนที่มีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปี
การแมะคืออะไร?

หมอเส็งแมะคนไข้
การแมะ คือ การตรวจโดยการจับชีพจร แต่จุดมุ่งหมายและวิธีการตรวจนั้นต่างกัน ในศาสตร์แพทย์แผนจีนกล่าวว่าภายในเส้นเลือดนั้นนอกจากจะมีเลือดอยู่ภายใน แล้วยังมีชี่ หรือที่เรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า ลมปราณ อยู่ด้วย ลมปราณจะเป็นตัวที่ขับดันเลือดให้ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย(ที่ทำให้ เกิดชีพจร) โดยที่ลมปราณที่ไปยังอวัยวะต่างๆนั้น จะสามารถดูถึงความผิดปกติได้ในตำแหน่งที่ต่างกันในขณะจับชีพจร และความช้า เร็ว ของชีพจรก็จะเป็นตัวบอกถึงสภาพของแต่ละคนได้(ในภาวะที่ร่างกายอยู่ในสภาพ ปกติ ไม่เหนื่อยหรือหลังทานอาหารใหม่ๆ เป็นต้น) เช่น เร็ว-โรคของอวัยวะกลวง โรคร้อน ช้า-โรคของอวัยวะตัน โรคเย็น ลอย-โรคจากภายนอก จม-โรคจากภายใน แรง-ภาวะแกร่ง อ่อนแอ-ภาวะพร่อง เนิบช้า-ความชื้น แน่น- ความเย็น และมือซ้าย สามารถดูได้ถึงอวัยวะ เช่น หัวใจ ตับ ไต ,มือขวา-ปอด กระเพาะอาหาร ไต เป็นต้น ซึ่งถ้าหมอจีนที่มีประสบการณ์สูงๆ ก็สามารถดูได้ว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง แต่ถ้าเพิ่งเริ่มเรียนก็สามารถดูได้คร่าวๆก่อน เช่น หัวใจ ตับ ไต กระเพาอาหาร เป็นต้น
การแมะเพื่อตรวจสอบชีพจรนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะตรวจหรือแมะกันบริเวณข้อมือ เพราะว่าบริเวณข้อมือมีจุดต่างๆที่หมอแมะสามารถจับชีพจรได้ และจุดจับชีพจรบนข้อมือแต่ละข้างก็สื่อถึงการทำงานของอวัยวะที่แตกต่างกันออกไป เช่น หมอแมะจะตรวจสอบการทำงานของกระเพาะอาหาร ต้องตรวจสอบทางด้านมือขวา แต่ถ้าต้องการแมะเพื่อตรวจสอบการทำงานของลำไส้เล็ก ก็ต้องแมะกันที่มือซ้าย เป็นต้น
หมอเส็งพูดเรื่องการแมะ
การแมะนั้นจะเกี่ยวข้องกับการมีสมาธิ คนตรวจจะต้องมีสมาธิพอสมควร ถ้าคนที่แมะเก่งๆ หากตรวจหัวใจคนไข้บางทีต้องควบคุมการเต้นของหัวใจตัวเองกับคนไข้ว่ามีจังหวะ เดียวกันมั้ย เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิต้องมีบ้าง มาถึงจะไปจับส่งเดชไม่ได้นะครับ แล้วการจับชีพจรนี่ก็จับตรวจโรคได้บางอย่าง บางอย่างก็ตรวจไม่พบ ไม่ใช่ว่าจับชีพจรแล้วจะตรวจพบหมดนะครับ การตรวจจากชีพจรเนี่ยมันบอกถึงการเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด ความร้อนความเย็นในร่างกายมันจะบอกได้จากชีพจรทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นรหัสการเต้นของชีพจรก็คือรหัสของโรค เราต้องอ่านรหัสแปลเป็นโรค วิธีการจับก็อยู่ในบริเวณข้อมือซึ่งจะมีชีพจรอยู่ ซึ่งถ้าชำนาญจับเดี๋ยวเดียวก็รู้
หมอเส็ง ฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร ประธานบริษัท หมอเส็ง ไทยแลนด์ จำกัด
บรรยากาศของการแมะกับหมอเส็ง
นำมาให้ทุกท่านได้ดูกันเป็นตัวอย่างกับบรรยากาศการแมะกับหมอเส็งที่บริษัท แสงสุริยะฉัตร 2002 จำกัด ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ถ้าดูจากภาพจะเห็นถึงพลังความศรัทธาของคนจำนวนมากที่มารอตรวจโรคหรือแมะกับหมอเส็ง เท่าที่ผมทราบจากประสบการณ์ในการแมะของหมอเส็งในแต่ละครั้งมีจำนวนผู้คนที่มารอการแมะของท่านไม่ต่ำกว่า 500 คน (ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ 500 คน) ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากจริงๆ
หลายท่านอาจจะยังสงสัยว่ารู้ได้ไงว่าถึง 500 คน ก็นับจากบัตรคิวนะสิครับ การแมะของหมอเส็งกับคนจำนวนมากขนาดนั้น ก็จำเป็นต้องมีการเรียงคิวเป็นธรรมดาอยู่แล้วครับ
คนที่มารอการแมะกับหมอเส็งก็มีอาการไม่สบายแตกต่างกันไป ตั้งแต่คนเจ็บป่วยที่สามารถมารับการตรวจแมะได้ด้วยตนเองจนกระทั่งคนเจ็บป่วยที่ต้องนั่งรถเข็นและต้องให้ญาติพี่น้องช่วยดูแล
ในส่วนของกระบวนการแมะของหมอเส็งนั้น เริ่มต้นจากการที่ท่านได้รับบัตรคิวเสียก่อน แต่เนื่องจากคนที่ไปรอรับการแมะกับหมอเส็งมีอยู่จำนวนมาก ถ้าไปรอรับบัตรคิวช้าอาจจะทำให้ต้องรอการแมะกับหมอเส็งนานก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากแมะกับหมอเส็งก่อนก็ต้องรีบจองคิวก่อน จากนั้นให้ท่านกรอกรายละเอียดอาการไม่สบายของท่านว่าเป็นอะไร มีอาการอย่างไร รอสักครู่ประมาณ 14.00 น. คุณหมอเส็งจะเริ่มการแมะ ซึ่งจะเรียกตามคิว คิวละ 50 คน ถ้าหมดคิวนี้ก็จะเรียกอีก 50 คนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน
ถ้าท่านถึงคิวของท่านที่จะได้แมะกับหมอเส็งแล้ว ท่านต้องเข้าไปให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการไม่สบายของท่านกับผู้ช่วยของคุณหมอเส็ง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2-3 ท่าน ที่คอยสอบถามข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่คุณหมอเส็งจะทำการแมะ
การแมะของคุณหมอเส็งจะใช้วิธีการจับชีพจรที่หลังมือ แล้วสอบถามอาการต่างๆ ด้วยตัวคุณหมอเส็งเอง ซึ่งจะใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นคุณหมอเส็งจะจัดยาให้กับคนที่ไม่สบาย และเขียนลงในบัตรคิวว่าต้องทานยาอะไรบ้าง เป็นอันเสร็จสิ้นการแมะต่อคน

คนไข้ที่รอคิวตรวจกับหมอเส็ง
ประสบการณ์จริง! ของผู้ที่เคยตรวจสุขภาพกับหมอเส็ง
เป็นเบาหวานมา 3 ปีแล้วค่ะ รักษาตัวด้วยการกินยาโรงพยาบาลตามหมอสั่ง แต่ระดับน้ำตาลในเลือดก็ยังไม่คงที่สูงๆต่ำๆตลอด ประกอบกับสุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรง บางครั้งมีอาการใจสั่น แขนขาอ่อนแรง มีคนแนะนำให้ไปแมะกับหมอเส็งก็ลองไปแมะดู หลังจากได้รับยาหมอเส็งมาทานสักพัก รู้สึกว่าอาการอ่อนเพลียและแขนขาอ่อนแรงเริ่มดีขึ้น สุขภาพโดยรวมดีขึ้นมากค่ะ
คุณนงนุช พนักงานบริษัท
เคยแพ้อาหารช่วงอยู่ไฟหลังคลอดลูกคนที่สองเมื่อ 26 ปีที่แล้วค่ะ แล้วทำให้มีอาการที่คนทางเหนือเรียกว่า ลมผิดเดือน มีอาการวิงเวียนศีรษะ มาตลอด ได้กลิ่น ควันไหม้หรือกลิ่นของแสลงโดยเฉพาะ เนื้อวัวเนื้อควาย ก็จะเวียนศีรษะและเรอเหมือนมีลมในตัวมาก นอนเป็นวันๆ จนกระทั่ง มีคนที่บริษัทของลูกชายแนะนำและได้เดินทางจากเชียงรายมาแมะกับหมอเส็ง โดยขามายังเวียนศีรษะมาตลอด พอได้กินยาหอมน้ำแก้ลมก็รู้สึกดีขึ้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ก็เลยทานยาหมอเส็งเป็นประจำค่ะ
คุณปราณี ค้าขาย
เป็นคนที่มีอาการหน้ามืดบ่อยๆค่ะ พอไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเรามีอาการความดันต่ำ และโลหิตจางร่วมกันค่ะ หมอจึงได้ให้ยามาทาน แต่ว่าก็ช่วยได้บ้างแต่ไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่ ภายหลังเพื่อนแนะนำให้ไปลองหาหมอเส็งดูค่ะ ได้ยาหมอเส็งมาทานแบบต่อเนื่อง อาการความดันต่ำและโลหิตจางที่เคยมีก็ดีขึ้นมากค่ะ และไม่หน้ามืดหรือเวียนหัวอีกเลย
คุณวาสนา พนักงานบริษัท
ทำไมต้องแมะกับหมอเส็ง ?
อันนี้เราคงต้องร้องขอให้ท่านมาพิสูจน์ด้วยตนเอง เท่าที่ผมทราบคนที่มาแมะกับหมอเส็งมีอยู่จำนวนหนึ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาเค้าได้ หรือบางท่านไปพบแพทย์มา 5 ครั้งแต่ก็ยังรักษาไม่ได้อะไรประมาณนั้น ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดกับตัวเอง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วทุกคนอยากดีขึ้นและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ ?
อีกประเด็นหนึ่ง คือ ถ้าหลายๆท่านเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหมอเส็งมาก่อน ท่านอาจจะเคยได้ทราบมาบ้างแล้วว่า ก่อนหน้านี้การที่ท่านจะได้รับการแมะกับคุณหมอเส็งนั้นเป็นเรื่องยาก และถึงแม้ท่านจะได้รับการแมะกับหมอเส็งก็จริง แต่ท่านอาจจะต้องจ่ายค่าแมะเป็นหมื่นบาทกันแลยทีเดียว (อันนี้ไม่นับรวมค่ายาครับ) แล้วตอนนี้ละถ้าจะแมะกับหมอเส็งต้องเสียเงินหรือเปล่า เราบอกไว้ตรงนี้เลยว่า
"ตอนนี้แมะกับหมอเส็งหรือตรวจโรคกับหมอเส็งฟรี!"