หมอแมะ เค้าไปหาหมอแมะกันทำไม ?

นำข้อมูลนำมาฝากท่านอีกเช่นเคย เกี่ยวกับการที่มีผู้ป่วยไปพบหมอแมะนั้น  (หลายๆท่านอาจจะเรียกว่า หมอจีน ก็ได้) เค้าไปพบหมอแมะด้วยสาเหตุอะไรบ้าง

เท่าที่ผมทราบข้อมูลมาผมมีสาเหตุอยู่ 2 อย่างที่คนมักจะไปพบหมอแมะกัน

ปรึกษาเรื่องการมีบุตรยาก

เรื่องการมีบุตรยากหรือการทีลูกยากเนี่ยเป็นสาเหตุอันดับต้นๆเลยครับ ไม่ใช่ว่าตอนแรกคู่สามีภรรยาจะไม่ไปหาหมอแผนปัจจุบันนะครับ ส่วนใหญ่แล้วไปพบแพทย์แผนปัจจุบันก่อนหน้านี้ที่ผมยังไม่เคยได้รู้จักกับแพทย์ทางเลือก พอไม่สบายหรือป่วยขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งหาหมอแผนปัจจุบันเสมอ ได้ยามาทานก็ดีขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งหายป่วย ผมจึงมีความเชื่อมั่นกับการแพทย์แผนปัจจุบันมากๆ ว่าสามารถช่วยชีวิตคนป่วยได้อย่างแน่นอน

ต่อมาพอเริ่มโตขึ้นมาหน่อยก็ได้รับข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือก ทั้งการฝังเข็ม กดจุด การนวด การแมะ และเริ่มจะคุ้นกับคำว่า หมอแมะ หมอฝังเข็ม หมอนวด (นวดเพื่อสุขภาพนะครับ) หมอกดจุด ซึ่งคำที่ทำให้ผมงงมากที่สุดก็ คือ หมอแมะ เพราะว่าเกิดมาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนและไม่เข้าใจว่าคำว่า แมะ เนี่ย คืออะไรกันแน่

หมอแมะ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับเห็นอาม่าที่บ้านพูดว่าหมอแมะๆ (หรือบางทีก็พูดว่าหมอจีน) แต่ก็ไม่เคยได้สนใจใคร่อยากรู้ จนกระทั่งคุณแม่เค้าได้รู้จักกับคุณหมอเส็งและได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หมอเส็ง พอรู้สึกประทับใจในตัวยาหมอเส็งก็เลยพาผมไปหาหมอเส็งเพื่อตรวจร่างกาย จากวันนั้นผมก็เลยได้รู้ว่าการแมะก็ คือ การตรวจร่างกายด้วยการจับชีพจรนั่นเอง เพราะว่าตอนที่คุณหมอเส็งตรวจร่างกายให้ผมนั้นท่านจับที่หลังมือของผม แล้ววินิจฉัยให้ฟัง (บอกถูกหมดเลยอะ ผมเนี่ยงงไปเลย) ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะรู้ความหมายของการแมะมากขึ้นหรืออยากพบคุณหมอเส็งลองอ่านดูที่เรื่อง แมะกับหมอเส็ง ได้ครับ

คู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากส่วนมากผ่านการปรึกษาหมอแผนปัจจุบันมาแล้วทั้งนั้น ทั้งนับวันไข่สุกเพื่อให้ติดลูกได้ง่ายขึ้น (สำหรับคุณผู้หญิง) ทั้งรับประทานยาบำรุงร่างกายทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง ทั้งทำกิฟท์ ทั้งฉีดเชื้อเข้าไข่ สารพัดรูปแบบแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ท้อง หมอแมะเลยกลายเป็นความหวังสุดท้ายของคู่สามีภรรยามี่มีบุตรยากครับ

เจ็บป่วยแล้วรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่หาย

อันนี้สาเหตุคล้ายกับกรณีแรก คือ ผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ อาจจะดีขึ้นแต่ไม่หายขาดหรือไม่ดีขึ้นเลย หรือไปหาหมอมา 5 โรงพยาบาลแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น และอื่นๆอีก

จากประสบการณ์ที่ผมเคยเจอตอนพาเพื่อนสมาชิกไปแมะกับหมอเส็ง ผู้ป่วยบางคนอาการหนักมากๆครับ นั่งรถเข็นมาก็มี หรือว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเนื่องจากหมอไม่รับรักษาแล้วก็มี มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่าหมอแมะเป็นความหวังสุดท้ายของคนป่วยหลายคนจริงๆครับ

ในความคิดเห็นของผม ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนไหนต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

ผมอยากจะยกตัวอย่างให้ดู เช่น ถ้าเราป่วยเป็นโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ แน่นอนว่าเป็นเราคงต้องไปหาแพทย์แผนปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่ายาที่ช่วยชีวิตเราได้ก็ คือ ยาต้านไวรัส ใช่ไหมครับ แต่ถ้าจะให้ทานยาสมุนไพรที่จ่ายจากหมอแมะเพื่อการรักษา ผมว่าก็คงไม่ทันการหรืออาจจะไม่ได้ผล

ในทางกลับกันอาการเจ็บป่วยหลายโรคที่หมอแมะรักษาและได้ผลดีกว่า เช่น ถ้าเรามีอาการปวดประจำเดือนหรือประจำเดือนมาไม่ปกติ เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงที่ไม่สมดุลในระหว่างช่วงที่มีประจำเดือน ถ้าเราทานยาสมุนไพรปรับฮอร์โมนเพศหญิง เช่น ว่านชักมดลูก ก็ช่วยให้อาการปวดประจำเดือนและอาการประจำเดือนมาไม่ปกติหายได้ แต่ถ้าใช้ยาระงับปวดอย่าง เช่น พอนแสตน เวลาปวดประจำเดือนทีก็ทานที ซึ่งไม่ได้ช่วยรักษาที่ต้นเหตุ (แค่ระงับปวดชั่วคราวเท่านั้น) แถมถ้าทานยาไปในระยะยาวก็ส่งผลกับกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ครับ